Loading color scheme

ประเทศไทยเสริมบทบาทเชิงรุกความร่วมมือด้านสมุทรศาสตร์ พร้อมขับเคลื่อนวิทยาศาสตร์แบบเปิดและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนบนเวทียูเนสโก

 IOC comb 1

          ระหว่างวันที่ 7–10 พฤศจิกายน 2568 คณะผู้แทนไทยนำโดย นางสาวรัชนินท์ พงศ์อุดม ผู้อำนวยการกลุ่มความร่วมมือกับองค์การยูเนสโก และนายธนพล ขันธวิชัย นักวิเทศสัมพันธ์ปฏิบัติการ สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ สป.ศธ. ในฐานะสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (Thai National Commission for UNESCO) ได้เข้าร่วมการประชุม คณะกรรมาธิการฝ่ายวิทยาศาสตร์ และคณะกรรมาธิการสมุทรศาสตร์สากล (Natural Sciences and Intergovernmental Oceanographic Commission: SC-IOC) ภายใต้การประชุมสมัยสามัญขององค์การยูเนสโก ครั้งที่ 43 ณ เมืองซามาร์กันต์ สาธารณรัฐอุซเบกิสถาน โดยประเทศไทยได้แถลงถึงความก้าวหน้าและแนวนโยบายสำคัญด้านวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการขับเคลื่อนความร่วมมือทางทะเลและการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบการทำงานของยูเนสโก
       IOC4
          ในด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเล ประเทศไทยมีบทบาทเชิงรุกภายใต้คณะกรรมาธิการสมุทรศาสตร์ส
ากลแห่งยูเนสโก (UNESCO-IOC) และคณะอนุกรรมาธิการภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกตะวันตก (WESTPAC) โดยในปีนี้ ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับภูมิภาคที่สำคัญ ได้แก่ การประชุม WESTPAC ครั้งที่ 2 ว่าด้วยการวางแผนพื้นที่ทางทะเล (Marine Spatial Planning: MSP) และ การประชุมระดับภูมิภาคว่าด้วยการติดตามและอนุรักษ์ระบบนิเวศหญ้าทะเล ซึ่งมุ่งสร้างความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรทางทะเลตามแนวคิด “การจัดการระบบนิเวศเป็นฐาน” (Ecosystem-based Management) นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ร่วมกับยูเนสโกจัดกิจกรรมคู่ขนานในการประชุม สหประชาชาติว่าด้วยสมุทรศาสตร์ (UN Ocean Conference 3: UNOC3) ภายใต้หัวข้อ “Unlocking the Blue Economy” เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสีน้ำเงินและเตรียมความพร้อมของประเทศต่อ ข้อตกลง BBNJ (Biodiversity Beyond National Jurisdiction) ในการคุ้มครองความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลนอกเขตอำนาจรัฐ
IOC2
          ประเทศไทยยังได้รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานตาม ข้อเสนอแนะของยูเนสโกว่าด้วยวิทยาศาสตร์แบบเปิด (UNESCO Recommendation on Open Science, 2021) โดยบูรณาการแนวคิด “วิทยาศาสตร์แบบเปิด” เข้ากับนโยบายระดับชาติด้านการวิจัยและนวัตกรรม ผ่านโครงการสำคัญ ได้แก่ แพลตฟอร์มนวัตกรรมเชิงนโยบายเพื่ออนาคตที่ดีกว่า (Policy Innovation Platform: PIP) และ โครงการเร่งรัดนโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศไทย (THIPA) เพื่อส่งเสริมความโปร่งใส ความร่วมมือ และการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ในการกำหนดนโยบายสาธารณะ แนวทางดังกล่าวสอดคล้องกับ แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2566–2570 ที่มุ่งใช้วิทยาศาสตร์เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานความรู้ และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ

          ในด้านสิ่งแวดล้อม ประเทศไทยยังคงแสดงบทบาทนำในภูมิภาคด้าน การอนุรักษ์ถ้ำและภูมิประเทศหินปูน (Cave and Karst Conservation) ภายใต้กรอบความร่วมมือของยูเนสโก โดยมีพื้นที่โดดเด่นที่ได้รับการรับรองในระดับโลก ได้แก่ อุทยานธรณีโลกสตูล, อุทยานธรณีโลกโคราช, และ เขตสงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว ซึ่งเป็นแหล่งอนุรักษ์ที่สะท้อนการบูรณาการองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ากับการพัฒนาชุมชนอย่างสมดุล ทั้งนี้ ประเทศไทยได้เสนอสนับสนุนการประกาศ “วันสากลแห่งถ้ำและภูมิประเทศหินปูน (International Day of Caves and Karst)” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ในระดับโลกเกี่ยวกับการอนุรักษ์ระบบนิเวศใต้ดินและมรดกทางธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการใช้ “วิทยาศาสตร์เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน” ภายใต้กรอบความร่วมมือของยูเนสโกอย่างต่อเนื่อง

สรุป/เรียบเรียง   ธนพล ขันธวิชัย
รัชนินท์ พงศ์อุดม
กลุ่มความร่วมมือกับองค์การยูเนสโก
รายงานโดย : กลุ่มยุทธศาสตร์และสารสนเทศต่างประเทศ
สำนักความสัมพันธ์ต่างประเทศ
สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
10 พฤศจิกายน 2568